ฉีดเมโสแฟตต้นขา วิธีลดต้นขาใหญ่ ได้ผลจริงไหม

มีปัญหาขาใหญ่ เซลล์ลูไลท์เพียบ ผิวเปลือกส้มไม่เรียบเนียนจนเสียความมั่นใจในการสวมใส่กางเกงขาสั้น พยายามออกกำลังกายลดน้ำหนักด้วยตัวเองแต่ไขมันที่สะสมอยู่ต้นขาก็ยังคงอยู่ การฉีดเมโสแฟตต้นขาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับใครที่กำลังหาข้อมูลการกำจัดไขมันต้นขาด้วยวิธีนี้กันอยู่ เราได้เรียบเรียงข้อมูลมาฝากกันแล้ว

ฉีดเมโสแฟตต้นขา คืออะไร

ฉีดเมโสแฟตต้นขา คืออะไร

การฉีดเมโสแฟตต้นขา คือการฉีดยาเพื่อลดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่บริเวณต้นขาโดยไม่ต้องผ่าตัด ช่วยกำจัดไขมันเฉพาะจุดและกระชับสัดส่วนให้เล็กลงตามต้องการ เมโสแฟตคุณภาพดี น่าเชื่อถือและผ่านการรับรองความปลอดภัยจากอย.แล้ว มักจะมีส่วนผสมหลักเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ โดยสารเหล่านี้จะมีคุณสมบัติหลักๆ คือ ลดการสังเคราะห์กรดไขมัน กระตุ้นการทำงานให้ระบบเผาผลาญ ดึงไขมันมาใช้เป็นพลังงาน เป็นต้น โดยไขมันส่วนหนึ่งจะสลายตัวและถูกขับไปทางระบบขับถ่าย ส่วนอีกส่วนหนึ่งจะถูกดึงกลับมาใช้เป็นพลังงานให้ร่างกาย จึงช่วยกำจัดไขมันเฉพาะส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้นขาเล็กลงได้
หลังจากฉีดเมโสแฟตต้นขา ผิวอาจจะมีอาการบวมอยู่บ้างจากตัวยา แต่จะดีขึ้นใน 3-4 ชั่วโมง เมื่อฉีดแล้วไขมันจะเริ่มสลายตัวทันที โดยจะสลายสูงสุด 10-25% ต่อการฉีด 1 ครั้งและเห็นความเปลี่ยนแปลงสูงสุดเมื่อฉีดไปแล้ว 2-3 สัปดาห์ แต่ว่าถ้ามีไขมันสะสมอยู่บริเวณต้นขาในปริมาณมาก การฉีดครั้งแรกอาจไม่ค่อยเห็นผลมากนัก ดังนั้นจึงอาจต้องฉีดซ้ำ 2-5 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หลังฉีดผลจะคงอยู่ 2-3 เดือน แต่อาจจะเร็วหรือช้ากว่านั้นก็ได้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการทานอาหารและออกกำลังกาย

สำหรับน่องขา การฉีดเมโสแฟตมักจะไม่ได้ผลเนื่องจากน่องขาส่วนใหญ่จะเป็นกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน เพราะฉะนั้นหากมีปัญหาน่องใหญ่ น่องไม่สวย แพทย์มักจะแนะนำให้ฉีดโบท็อกซ์มากกว่า แต่สามารถฉีดทั้งเมโสแฟตลดต้นขาและฉีดโบท็อกซ์เพื่อลดน่องขาไปพร้อมๆ กันได้ในเวลาเดียวกัน

ฉีดเมโสแฟตขา ราคา

ฉีดเมโสแฟตขา ราคา

โดยทั่วไปแล้วค่าใช้จ่ายในการฉีดเมโสแฟตจะเริ่มต้นประมาณ 2,000 บาท ( 6 CC.) แต่ค่าใช้จ่ายนี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณยาและยี่ห้อของเมโสแฟตด้วย บริเวณต้นขาเป็นอีกจุดที่มีไขมันสะสมอยู่เยอะเมื่อเทียบกับใบหน้าหรือลำคอ อาจต้องฉีดยามากถึงข้างละ 40 CC. ดังนั้นการฉีดเมโสแฟตขาจะมีราคาประมาณ 18,000-20,000 บาท อย่างไรก็ตามปริมาณยาที่ฉีดในแต่ละครั้งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและฉีดตามความเหมาะสม
ข้อควรปฏิบัติหลังฉีดเมโสแฟตต้นขา
การปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมหลังฉีดเมโสแฟตจะช่วยให้ตัวยาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผลลัพธ์จะออกมาดีขึ้นและอยู่ได้นานขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน

• ดื่มน้ำให้เพียงพอ ดื่มอย่างน้อยวันละลิตร เพราะไขมันที่สลายตัวแล้วจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ หากดื่มน้ำมากๆ ก็จะช่วยให้ไขมันถูกกำจัดออกนอกร่างกายได้รวดเร็วมากขึ้น

• ออกกำลังกาย สำหรับผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำมาก่อนหน้าจะฉีดเมโสแฟต หลังฉีดก็ออกได้ตามปกติ แต่ถ้าไม่เคยออกมาก่อนเลยแนะนำให้เริ่มออกกำลังกายเบาๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ ยืดเหยียดร่างกาย แอโรบิกฯลฯ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 35-40 นาที เพื่อที่ร่างกายจะได้กำจัดไขมันออกไปได้เร็วขึ้น กล้ามเนื้อและผิวพรรณกระชับ ไม่หย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยลดการสะสมของไขมันใหม่ได้อีกด้วย

• งดการทำทรีทเมนต์ รวมไปถึงการนวด ประคบ อบซาวน่า ขัดผิว แว็กซ์ขนฯลฯ ในบริเวณที่ฉีดเมโสแฟต เนื่องจากอาจมีอาการบวมช้ำหรือปวดเล็กน้อยหลังฉีด เพราะฉะนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น เพื่อลดการบวมหรือฟกช้ำนั่นเอง นอกจากนี้ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ด้วย โดยต้องงดอย่างน้อย 1 สัปดาห์

• ควบคุมการทานอาหารไขมันสูง การฉีดเมโสแฟตไม่ว่าจะต้นขาหรือบริเวณใดก็ตามจะเป็นสิ่งที่แทบไร้ประโยชน์ หากฉีดไปแล้วยังทานอาหารไขมันสูงอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยจำกัดการทานไขมัน เลือกทานอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่และลดอาหารขยะ อาหารฟาสฟู้ด อาหารมันๆ ทอดๆ เป็นต้น ควบคุมอาหาควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย แล้วไขมันใหม่จะสะสมช้าลง ผลลัพธ์การฉีดเมโสแฟตจะอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น

• การทำ RF สำหรับผู้ที่มีไขมันบริเวณต้นขาปริมาณมากและต้องฉีดเมโสแฟตซ้ำหลายครั้ง ในระหว่างเว้นระยะฉีด แนะนำให้ทำ RF ควบคู่ไปด้วยเพื่อรีดไขมันและกระชับสัดส่วน ช่วยลดปัญหาผิวพรรณหย่อนคล้อยหลังฉีดนั่นเอง

สรุป ฉีดเมโสแฟตต้นขา ได้ผลจริงไหม

สรุป ฉีดเมโสแฟตต้นขา ได้ผลจริงไหม

การลดไขมันต้นขาสามารถทำได้หลายวิธี ตั้งแต่วิธีธรรมชาติอย่างออกกำลังกายไปพร้อมกับควบคุมอาหาร ไปจนถึงวิธีที่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การสลายไขมันด้วยความเย็น การดูดไขมันและการฉีดเมโสแฟต สำหรับการฉีดเมโสแฟตนั้นก็ช่วยสลายไขมันบริเวณต้นขาได้จริง แต่ฉีดแล้วจะเห็นผลมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน ปริมาณยาและจำนวนครั้งที่ฉีดด้วย เพราะฉะนั้นใครที่อยากฉีดก็ลองเข้าไปปรึกษาแพทย์ในคลินิกที่ตัวเองสนใจก่อน แพทย์จะให้คำปรึกษาพร้อมทั้งประเมินปัญหาเบื้องต้นให้ได้ ช่วยให้ผู้เข้ารับบริการมีความเข้าใจที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here